เครื่องมือจัดการการอนุญาตของคุณให้ใช้คุกกี้ของเรากำลังออฟไลน์ชั่วคราว การทำงานบางอย่างที่ต้องใช้คำยินยอมให้ใช้คุกกี้อาจหายไป
ขับเคลื่อนอย่างยั่งยืนกับ BMW
ด้วยยุทธศาสตร์เน้นความยั่งยืนอย่างเป็นระบบ กลุ่มบริษัท BMW กำลังสร้างมาตรฐานขึ้นใหม่ในอุตสาหกรรมยานยนต์
สำหรับกลุ่มบริษัท BMW สุนทรียภาพแห่งการขับขี่นั้นกินความหมายมากกว่าแค่การขับเคลื่อน เพราะความยั่งยืนคือสิ่งที่เราให้ความสำคัญโดยจะไม่ผ่อนปรน เรากำลังก้าวเข้าสู่อนาคตด้วยยุทธศาสตร์ที่ใหม่และต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงขยายขอบเขตออกไปจากความคุ้นเคยเดิมๆ แต่ยังยกระดับความสำคัญของความยั่งยืนขึ้นอีกขั้น
ในช่วงหลายปีและหลายสิบปีที่ผ่านมา เราได้กำหนดมาตรฐานอันสำคัญไว้ในการประเมินอายุการใช้งานรถยนต์ ทั้งทรัพยากรที่ใช้ ไปจนถึงการสิ้นเปลืองพลังงานและอัตราการรีไซเคิล ในปีต่อๆ ไปนี้เราจะยังขยายขอบเขตของยุทธศาสตร์ด้านการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง และผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาให้ได้ 25 รุ่นภายในปี 2023
อย่างไรก็ดี เป้าหมายด้านสภาพอากาศสะอาดและการขับเคลื่อนไร้มลพิษจะบรรลุได้ ก็ด้วยเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าในรูปแบบต่างๆ เท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้ และเพื่อจะบรรจุถึงความหลากหลายมากขึ้นตามความต้องการของลูกค้า เราจะทำตามปณิธานอันมุ่งมั่นในการพัฒนาเซลล์เชื้อเพลิงด้วยความเป็นกลางทางเทคโนโลยี เราได้นำรถยนต์ BMW i Hydrogen ออกแสดงในงาน IAA เมื่อปี 2019 แล้ว ขั้นต่อไปคือการนำรถยนต์ BMW i Hydrogen NEXT รุ่นอื่นๆ ออกมานำเสนออีกในปี 2022 เรากำลังค่อยๆ สร้างปรากฎการณ์ใหม่เพื่อไปสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปราศจากมลพิษ
โอลิเวอร์ ซิปเซ - ประธานกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารของ BMW AG„ เราไม่ได้ทำสิ่งต่างๆ ให้ยั่งยืนที่ BMW แต่เราสร้าง BMW ให้ดำรงไว้อย่างยั่งยืน “
80%
คือเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของรถยนต์แต่ละคันให้ได้ ภายในปี 2030
กำหนดทิศทางใหม่ในห่วงโซ่คุณค่ากำหนดทิศทางใหม่ในห่วงโซ่คุณค่า
เรารู้วิธีคิดแบบองค์รวมอย่างยั่งยืน นี่คือเหตุผลที่เราต้องพยายามอย่างหนักระหว่างการพัฒนาและผลิตรถยนต์ เป้าหมายคือห่วงโซ่คุณค่า (value added chain) ที่ยั่งยืน ซึ่งครอบคลุมความต้องการใช้งานของตัวเอง ด้วยการรีไซเคิลวัสดุกลับมาใช้ สร้างวัตถุดิบ รวมถึงพลังงานที่ใช้ผลิตขึ้นใหม่ ที่ต้องยอมรับคือเรายังไม่บรรลุในจุดนั้นแต่ก็ทำสำเร็จในการเป็นผู้บุกเบิก ไม่เพียงแต่การบริหารทรัพยากรเท่านั้นที่มีบทบาทสำคัญในรูปแบบธุรกิจของกลุ่มบริษัท BMW การลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็เช่นกัน จากสัดส่วนของปริมาณรถไฟฟ้าและการผลิตแบตเตอรี่โวลต์สูงที่เพิ่มขึ้นซึ่งนำมาสู่การใช้พลังงานและทรัพยากรปริมาณมาก เราจึงต้องกำหนดมาตรการเคร่งครัดตลอดห่วงโซ่คุณค่า เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หนึ่งในมาตรการต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ ได้แก่การที่กลุ่มบริษัท BMW จะกำหนดใช้มาตรการคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาทำสัญญากับผู้ส่งวัตถุดิบและอุปกรณ์รายต่างๆ และจะกลายเป็นผู้บุกเบิกในฐานะผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่เน้นเป้าด้านลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในการป้อนวัสดุ เราเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงนี้และตั้งเป้าไว้ว่าต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปี 2020 ลงให้ได้ 20% เมื่อเทียบกับปี 2019
20%
คือเป้าหมายการลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นในกระบวนการป้อนวัสดุเข้าโรงงานของกลุ่มบริษัท BMW ต่อรถยนต์1 คัน ที่ต้องทำให้ได้ภายในปี 2030 หากไม่มีมาตรการนี้ การสร้างรถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจะนำไปสู่การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น 40% ในกระบวนการนำวัสดุป้อนโรงงานเพื่อสร้างรถยนต์แต่ละคัน เราคือผู้สร้างความเปลี่ยนแปลง
การผลิตที่มองการณ์ไกล
ด้วยการลงนามเข้าร่วมโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme) และ ปฏิญญาสากลว่าด้วยการผลิตที่สะอาด (International Declaration on Cleaner Production) ในปี 2001 พันธกิจของเราคือลดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและทรัพยากรในการผลิตทั่วโลกให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ กลุ่มบริษัท BMW ที่มีสำนักงานและโรงงานอยู่ทั่วโลกคือบรรทัดฐานในด้านการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพราะเราไม่เพียงแต่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของอนาคตที่ยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังต้องการเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นด้วย เราจึงตั้งเป้าหมายสูงสุดของอุตสาหกรรมนี้ไว้ในปี 2030 เพื่อสอดส่องและวิเคราะห์มาตรการอันกว้างไกลนี้ เราได้นำระบบบริหารสภาพแวดล้อมมาใช้ในโรงงาน ซึ่งระบบได้รับการพัฒนาและปรับแต่งให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เราจะทำได้ตามคำกล่าวอ้างด้านประสิทธิผลที่ตรวจสอบได้ของมาตรฐานและกฎระเบียบ
นอกจากการขยายงานอย่างต่อเนื่อง และการใช้พลังงานหมุนเวียนกับการนำวัตถุดิบกลับมาใช้ใหม่ในการผลิต เรายังกำลังมุ่งไปในทิศทางที่ดีในการหมุนเวียนวัสดุด้วย ปัจจุบันนี้ 99% ของของเสียจากการผลิตรถยนต์ 2.5 ล้านคันในแต่ละปีได้ถูกนำมารีไซเคิลใช้และฟื้นสภาพใหม่ และเรายังกำลังพยายามยกระดับมาตรฐานนี้ให้สูงขึ้น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ตัวเลขการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อการผลิตรถยนต์แต่ละคัน จะต่ำกว่าผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ในเยอรมนีมาก
การใช้วัสดุอย่างยั่งยืน
ไม้ที่ผ่านการรับรองจาก FSC
ปอแก้ว
ยางธรรมชาติ
Econyl เส้นใยไนลอนผลิตจากขยะในทะเล
อลูมิเนียม
93.4%
ของปริมาณของเสียที่เกิดขึ้นทั่วโลกจากการผลิตรถยนต์ของเราปีละ 2.5 ล้านคันในปี 2021 เป็นการรีไซเคิลวัตถุดิบ (93.4 %) หรือการรีไซเคิลเป็นพลังงานความร้อน (5.8 %) โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมในรายงาน BMW Group ประจำปี 2021 ที่
การรีไซเคิลใช้คือปัจจัยสำคัญ
การรีไซเคิลวัตถุดิบถือเป็นปัจจัยสำคัญที่เรานำใช้เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ในระหว่างหนทางไปสู่เป้าหมายด้านการผลิตที่มีการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดและยั่งยืนต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ การนำวัตถุดิบกลับมาใช้ใหม่ในรูปของสารที่ผ่านการรีไซเคิลยังเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวที่แน่วแน่ในห่วงโซ่การสร้างมูลค่าเพิ่มของเราควบคู่ไปกับการวางแผนผลิตภัณฑ์อย่างชาญฉลาด
การรักษาสภาพแวดล้อมอย่างยั่งยืนใน BMW i3
BMW i3 คือผลงานที่เป็นตัวอย่างอันชัดเจนของกลยุทธ์ที่เราถือปฏิบัติ ด้วยอัตราของการรีไซเคิลใช้วัสดุถึง 95% ห้องโดยสารมีส่วนประกอบ 30% จากเส้นใยปอแก้ว วัสดุที่ได้จากการพืชตระกูลชบาที่ปลูกซ้ำได้ ในการผลิตผืนผ้านั้นเราใช้เส้นใยพิเศษและเป็นนวัตกรรมที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกที่ได้จากการรีไซเคิลขวดพลาสติก PET และยัง ”ชุบชีวิต” ให้กับแบตเตอรี่ด้วยระบบการเก็บรักษา ซึ่งเราใช้มันสร้างพลังงานสะอาดให้กับโรงงานผลิตของเราหลายแห่ง
วัสดุที่รีไซเคิลได้
เราจะเลือกใช้วัตถุดิบที่รีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ได้เสมอ ถ้าพิจารณาแล้วว่าเหมาะสมในเชิงเทคนิค ระบบนิเวศ ความคุ้มค่า และทำได้จริง – และมุ่งมั่นจะเพิ่มสัดส่วนของวัสดุพวกนี้ให้ได้ในปี 2030 สำหรับทรัพยากรอันสำคัญยิ่งสองประเภทคือเหล็กและอลูมิเนียม เราตั้งเป้าหมายไว้ที่ 4-6 สำหรับอลูมิเนียมและองค์ประกอบ 2-5 สำหรับเหล็กกล้า ปัจจุบันนี้เราใช้เหล็กกล้าขึ้นรูปขั้นทุติยภูมิประมาณ 25% ใช้อลูมิเนียมขึ้นรูปทุติยภูมิถึง 50% ในอุปกรณ์บางชนิด และใช้เธอร์โมพลาสติกหล่อขั้นทุติยภุมิสูงสุดถึง 20% ด้วยวิธีนี้เราจึงยังยึดแนวทางวิศวกรรมยืดอายุวัสดุได้ด้วยการรีไซเคิลใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการใช้วัตถุดิบทุติยภูมิจะลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มาก
การรีไซเคิลใช้วัสดุจากรถยนต์ที่สิ้นสภาพแล้ว
แม้รถยนต์ BMW คันหนึ่งจะสิ้นสภาพแล้ว มันก็ยังมีส่วนสำคัญอยู่ในการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเนื่อง ยิ่งกว่านั้นคือเราไม่ทอดทิ้งรถยนต์ที่สิ้นสภาพแล้วปล่อยชิ้นส่วนต่างๆและวัสดุของมันให้เป็นขยะที่ต้องกำจัด แต่ทำให้เป็นแหล่งวัตถุดิบขั้นทุติยภูมิแทน การรับคืนรถยนต์สิ้นสภาพ และแปลงอุปกรณ์ทุกส่วนและวัสดุทุกชิ้นกลับคืนเป็นวัตถุดิบ ทำให้การรีไซเคิลผลิตภัณฑ์ของเราเป็นหนึ่งในเครื่องมืออันสำคัญ เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านกระบวนการผลิตที่ไม่ทำลายสภาวะแวดล้อมและสงวนทรัพยากร ใน 30 ประเทศควบคู่ไปกับบริษัทที่จำหน่ายรถยนต์ในประเทศ เราได้วางกฎเกณฑ์ไว้ว่าให้รับรถยนต์สิ้นสภาพกลับมาเพื่อวัตถุประสงค์นี้ และเสนอกรรมวิธีรีไซเคิลใช้ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับผู้ประกอบการ 3,000 รายทั่วโลกที่รับรถยนต์คืน เหนือสิ่งอื่นใดเราอยากให้มั่นใจได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าของเราได้ถูกรีไซเคิลใช้ใหม่อย่างโปร่งใส ในระยะยาวการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าจะไม่ได้พึ่งพาแต่วัสดุเพียงลำพังเท่านั้น จึงหมายความว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนของวัสดุใหม่หมด ดังนั้นลูกค้าของเราจึงมีทางเลือกในการส่งคืนรถยนต์สิ้นสภาพไปยั ง”ศูนย์รีไซเคิลใช้และแยกส่วนยานยนต์แห่งมิวนิค” (Munich Recycling and Dismantling Centre หรือ RDZ) ได้ นอกจากจะรับรถยนต์สิ้นสภาพคืน เรายังพัฒนาแนวคิดและมาตรการอื่นๆ อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้กรรมวิธีการรีไซเคิลใช้วัสดุดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด
นับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา เราได้จัดหาพลังงานไฟฟ้าภายนอกจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนสำหรับไซต์การผลิตของ BMW Group ทั่วโลก
คนรุ่นใช้พลังงานเต็มประสิทธิภาพ
BMW Group มีอิทธิพลโดยตรงต่อการปล่อยก๊าซ CO2 จากโรงงานและสถานที่ต่างๆ ของบริษัท รวมถึงแสดงเกณฑ์มาตรฐานในด้านการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เราตั้งเป้าไว้ว่าภายในปี 2030 สถานที่ต่างๆ ของเราจะลดปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2 ลง 80% ต่อรถยนต์หนึ่งคันเมื่อเทียบกับปี 2019 ด้วยเหตุนี้ เราจึงใช้กำลังไฟฟ้าภายนอกทั้งระบบการผลิตของเราจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน และไซต์งานทั้งหมดของเรามีความเป็นกลางทางคาร์บอนสุทธิโดยผ่านกระบวนการชดเชยคาร์บอนมาตั้งแต่ปี 2021 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว เราได้ลงทุนอย่างเป็นระบบในการใช้พลังงานในสถานที่ต่างๆ ของเราอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดจนดำเนินการตรวจสอบ ณ สถานที่ปฏิบัติงานเพื่อหาแนวทางที่ดีที่สุดในการจัดหาพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานลม ไฮโดรเจน ก๊าซชีวภาพ หรือชีวมวล นอกจากนี้ การใช้ไฮโดรเจนสีเขียวยังมีบทบาทสำคัญในสถานที่ตั้งบางแห่งที่มีความเหมาะสม และปัจจุบันกำลังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบประสิทธิภาพในการทำให้เกิดความร้อนในโรงงานต้นแบบ การใช้แหล่งจ่ายไฟภายนอกร่วมกับภายในตามลำดับจะแตกต่างกันในไซต์การผลิตแต่ละแห่ง ขณะเดียวกัน เราก็ใช้พลังงานในกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด กล่าวคือ เราลดความต้องการด้านการทำความร้อนลงโดยการนำความร้อนเหลือทิ้งจากกระบวนการต่างๆ รวมถึงวัฏจักรความร้อนที่มั่นคงกลับมาใช้ใหม่ การใช้เทคนิคด้านดิจิตอลอย่างเช่นการวิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้เราลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าลงได้โดยผ่านการควบคุมอัจฉริยะ และยังช่วยลดปริมาณเศษชิ้นส่วนไปพร้อมกัน
การปฏิบัติด้วยแนวทางยั่งยืนในโรงงานผลิต
โรงงานของกลุ่มบริษัท BMW เมืองไลป์ซิก
บรรยากาศที่นี่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ โรงงานของกลุ่มบริษัท BMW ในเมืองไลป์ซิกคือหนึ่งในโรงงานผลิตรถยนต์ที่ทันสมัยและยั่งยืนที่สุดในโลก รถยนต์ใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้าและช่วงล่างน้ำหนักเบา CFRP ได้ถูกผลิตจากโรงงานแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 2013 นับเป็นโรงงานแห่งแรกในประเทศเยอรมนีที่ปฏิบัติงานส่วนใหญ่ด้วยไฟจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันลมของโรงงาน ด้วยนวัตกรรมด้านแบตเตอรี่กลุ่ม (ฟาร์มแบตเตอรี่) อันประกอบด้วยแบตเตอรี่โวลต์สูง 700 ชิ้นของรถยนต์ BMW i3 เรากำลังใช้มาตรการทั้งหมดพร้อมกันที่นี่ เพื่อบริหารทรัพยากรและพลังงานในการผลิตอย่างเต็มประสิทธิภาพ ประการแรก เราทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อยืดอายุใช้งานของแบตเตอรี่ ประการที่สอง ฟาร์มแบตเตอรี่นี้เก็บพลังงานจากกังหันลมไว้เมื่อมีกำลังไฟมากพอกับความต้องการ และสามารถป้อนไฟส่วนเกินนี้เข้าระบบได้เมื่อกำลังไฟตก ด้วยวิธีนี้เรายังมีส่วนช่วยรักษาสมดุลระบบไฟฟ้าสาธารณะด้วย
โรงงานของกลุ่มบริษัท BMW เมืองดิงโกลฟิง
ต้องขอบคุณการใช้มาตรการอันเด็ดขาด โรงงานที่เมืองดิงโกลฟิงซึ่งเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ใหญ่ที่สุดของกลุ่มบริษัท BMW ในยุโรปจึงทำสถิติได้ยอดเยี่ยมด้านการลดความสิ้นเปลืองทรัพยากร และลดการปล่อยมลพิษลงมากกว่าหนึ่งในสามภายในระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา ด้วยการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือระดับนวัตกรรมในด้านการผลิต ศูนย์พลังงานรูปแบบใหม่ใช้การผลิตไฟฟ้าและความร้อนประสิทธิภาพสูง ด้วยการสนับสนุนอย่างผสมผสานจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนและเชื้อเพลิง (CHP) ที่เปลี่ยนเชื้อเพลิงให้เป็นพลังงานไฟฟ้า และใช้ประโยชน์จากความร้อนที่เกิดจากกระบวนการนี้ให้เป็นแหล่งพลังงาน ขอบคุณสถานี CHP และระบบไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์บนหลังคาใหญ่ที่สุดในเยอรมนี ปัจจุบันโรงงานแห่งนี้ผลิตไฟฟ้าใช้เองได้ถึงครึ่งหนึ่งของความต้องการ และใช้ไฟฟ้าสะอาดจากแหล่งพลังงานภายนอกสนองความต้องการส่วนที่เหลือ โดยเฉพาะในด้านการจัดการขยะซึ่งเป็นยอดปรารถนาของบริษัทในด้านยุทธศาสตร์ที่ยั่งยืน โรงงานในดิงโกลฟิงสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน ด้วยมาตรการรีไซเคิลอันเปี่ยมประสิทธิภาพ เช่น โรงงานบดอัดขยะอันทันสมัยที่สามารถทำอัตราการรีไซเคิลใช้วัสดุได้มากถึง 99.8%
โรงงานกลุ่มบริษัท BMW เมืองเสิ่นหยาง
ใช้นวัตกรรมมากขึ้นโดยปล่อยมลพิษน้อยลง เช่นเดียวกับโรงงานของเราในยุโรปและบราซิล ซึ่งซื้อกระแสไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานพิเศษที่หมุนเวียนคืนรูปได้ โรงงานของเราในเสิ่นหยางดำเนินไปได้ด้วยระบบไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์อันทรงประสิทธิภาพที่สุดของกลุ่มบริษัท BMW ที่ให้กำลังไฟฟ้าสูงสุดถึง 15.1 เมกวัตต์
ความรับผิดชอบคือแรงขับเคลื่อนของเรา
ด้วยโครงการต่างๆ เช่น ”โคบอลต์เพื่อการพัฒนา” (Cobalt For Development) เรากำลังนำเอายุทธศาสตร์แบบยั่งยืนไปใช้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการกำหนดแนวทาง การสนับสนุน และส่งเสริม เรายังมั่นใจได้ว่าผู้ร่วมกิจการกับเราในเครือข่ายการส่งวัตถุดิบ ปฏิบัติอย่างเป็นระบบได้ตามมาตรฐานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ในทุกขั้นตอนของการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเนื่องในการผลิต
100%
พลังงานไฟฟ้าสะอาดถูกบรรจุเป็นเงื่อนไขในสัญญาที่เราทำร่วมกับผู้ส่งวัสดุอุปกรณ์เพื่อการผลิตแบตเตอรี่ที่เราใช้
แบตเตอรี่โวลต์สูง : เรื่องราวแห่งความสำเร็จ
การใช้เซลล์แบตเตอรี่ซ้ำ
เปี่ยมประสิทธิภาพจนโวลต์สุดท้าย เรารับคืนแบตเตอรี่โวลต์สูงของ BMW จากทั่วโลก แม้ว่ากฎหมายจะไม่ได้กำหนดว่าต้องทำเช่นนั้นก็ตาม ระหว่างการ ”คืนชีพ” แบตเตอรี่รถยนต์ของเราจะถูกใช้งานในระบบเก็บรักษาซึ่งเรามีอยู่หลายแห่งทั่วโลก ด้วยวิธีนี้เราได้บรรจุพลังงานที่คืนรูปได้ไว้ในระบบไฟฟ้า เพิ่มความเสถียรของไฟฟ้าและลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานสำหรับลูกค้า และเรายังก้าวหน้าไปอีกขั้นด้วยการวางเป้าไว้ว่าให้ผลิตแบตเตอรี่ในท้องถิ่นได้โดยปราศจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตัวอย่างอันชัดเจนที่สุดคือโรงงานกลุ่มบริษัท BMW ของเราในเมืองไลป์ซิก กับฟาร์มเก็บแบตเตอรี่ของ BMW i3 จำนวน 700 ชิ้น เมื่อเป็นที่เก็บแบบกั้นแยกเพื่อการหมุนเวียนพลังงานกลับมาใช้ มันจึงช่วยเก็บพลังงานไฟฟ้าจากลมไว้แล้วบรรจุกลับเข้าระบบไฟฟ้าคืน ยิ่งกว่านั้นคือมันลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานสำหรับการผลิตได้ด้วย
การรีไซเคิลเซลล์แบตเตอรี่
สำหรับแบตเตอรี่ที่ใช้งานครบอายุการจัดเก็บพลังงานแล้ว เราก็ประสบความสำเร็จในการเพิ่มอัตราการรีไซเคิลแหล่งพลังงานอันทรงคุณค่านี้ขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน การรีไซเคิลนี้ทำให้ได้วัสดุรีไซเคิลคุณภาพสูงเพื่อใช้ในการผลิตแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนใหม่ เราได้ร่วมมือกับดือเซินเฟลด์ (Duesenfeld) บริษัทเยอรมันผู้เชี่ยวชาญด้านการรีไซเคิล ในการพัฒนากรรมวิธีเพื่อให้ได้อัตราการรีไซเคิลวัสดุต่างๆ รวมทั้งกราไฟต์และสารนำไฟฟ้าได้สูงสุด 96% ปัจจุบันนี้ยังมีเพียงเธอร์โมพลาสติกชุบสารนำไฟฟ้าเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่หลังกระบวนการดังกล่าว
ประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรของผู้จัดส่งวัตถุดิบ
BMW เป็นผู้นำแม้ตั้งแต่ก่อนขั้นตอนการผลิต ในฐานะผู้บุกเบิกในยุทธศาสตร์แบบยั่งยืน คำพูดของเราจึงมีน้ำหนักต่อผู้จัดส่งวัตถุดิบ และเราได้ใช้สิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์ เราได้ระบุไว้ในข้อตกลงว่าจ้างกับผู้ผลิตเซลล์แบตเตอรี่ว่าต้องใช้พลังงานไฟฟ้าสะอาดเท่านั้น ในการผลิตเซลล์แบตเตอรี่ที่จะจัดส่ง สิ่งนี้นำไปสู่การลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 10 ล้านตันในปี 2030 เทียบได้โดยประมาณกับปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์จากเมืองที่มีประชากร 1 ล้านคน เช่นที่เมืองมิวนิคปล่อยออกมาแต่ละปี ในฐานะที่ร่วมลงนามในโครงการเปิดเผยปริมาณการปล่อยคาร์บอน (Carbon Disclosure Project หรือ CDP) เราสนับสนุนให้ผู้ส่งมอบวัตถุดิบใช้มาตรการต่างๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น
บนเส้นทางแห่งความยั่งยืน: การขับเคลื่อนในเมือง
เรามุ่งมั่นจะทำเต็มร้อยตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องของสุนทรียภาพแห่งการขับขี่อย่างยั่งยืน นี่คือเหตุผลที่เราเดินตามแนวทางวัตถุประสงค์และแนวทางปฏิบัติใหม่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ อันเป็นหนทางที่ทำให้เรานำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าให้ลูกค้ามากแบบที่สุดในโลกด้วย
แต่นั่นยังไม่พอ ด้วย BMW eDrive Zone เรากำลังสนับสนุนการดำเนินการในหลายรูปแบบที่งดการปล่อยและปล่อยมลพิษต่ำในมหานครและในเขตเมืองต่างๆของยุโรป BMW eDrive Zone คือบริการสำหรับรถยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริดที่จะแสดงบริเวณรักษาสภาพแวดล้อมไว้โดยอัตโนมัติ แล้วสั่งการให้รถยนต์เปลี่ยนไปขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวเมื่อเข้าสู่พื้นที่ดังกล่าว เพื่อแล่นผ่านบริเวณนั้นไปโดยไม่ปล่อยมลพิษ
นอกจากนี้ BMW ยังมอบรางวัลให้ลูกค้า ด้วยคะแนน BMW Points ที่สะสมให้จากทุกกิโลเมตรที่คุณเดินทางด้วยระบบไฟฟ้า โดยคุณจะได้รับคะแนนเพิ่มเป็นสองเท่าเมื่อเดินทางในพื้นที่ BMW eDrive Zone ซึ่งคะแนนเหล่านี้สามารถนำไปแลกใช้ได้ เช่น แลกเป็นการชาร์จไฟฟ้าฟรีที่ BMW Charging
4,100
คือจำนวนจุดชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจะถูกติดตั้งขึ้นในที่ทำการต่างๆ ของเราทั่วเยอรมนีภายในปี 2021 ซึ่งจะช่วยให้พนักงานได้ชาร์จไฟรถยนต์ได้สะดวกสบายและจูงใจ ประมาณครึ่งหนึ่งของจุดชาร์จไฟเหล่านี้จะเปิดใช้บริการแบบสาธารณะ
*BMW Concept i4
BMW Concept i4 คือรถยนต์ต้นแบบที่ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อจำหน่าย BMW Concept i4 ซีรีส์ล่าสุดยังไม่ผ่านการอนุมัติให้ผลิตเป็นจำนวนมากเพื่อการค้า ตัวเลขความสิ้นเปลืองพลังงานจึงยังไม่เปิดเผย