เครื่องมือจัดการการอนุญาตของคุณให้ใช้คุกกี้ของเรากำลังออฟไลน์ชั่วคราว การทำงานบางอย่างที่ต้องใช้คำยินยอมให้ใช้คุกกี้อาจหายไป
อนาคตที่ไร้มลภาวะ
ความสะดวกสบายที่ยั่งยืน
บีเอ็มดับเบิลยู i เพื่อความก้าวหน้าอย่างความยั่งยืน มากกว่าแค่การมองการณ์ไกล คือ การสร้างยนตกรรมที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ทำให้คำถามเกิดขึ้นมากมาย แต่คำตอบที่ดีที่สุดคือ การคงสิ่งเป็นอยู่ในปัจจุบัน ให้คงอยู่ตลอดไป
แนวทางแห่งความคิดและปณิธาน ในการพัฒนาของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป คือ การก้าวไปข้างหน้าเพื่อความยั่งยืน ที่ทำให้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปประสบความสำเร็จ ได้เป็นผู้นำองค์กรด้านการบริหารจัดการเพื่อความยั่งยืนสูงสุดในตลาดหุ้นดาวโจนส์ 8 ปีซ้อน และเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการด้านธุรกิจยานยนต์ที่สร้างความยั่งยืนสูงสุดเช่นกัน ด้วยแนวคิด BMW EfficientDynamics บีเอ็มดับเบิลยู จึงมุ่งมั่นสร้างสรรเทคโนโลยีเพื่อลดการทำลายสิ่งแวดล้อม แต่เพิ่มความสุนทรียในการการขับขี่ ตลอดจนบีเอ็มดับเบิลยู i ที่นำพาความสำเร็จของแนวคิด BMW EfficientDynamics มุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อออกแบบและผลิต การเดินทางไลฟ์สไตล์ทันสมัย กับทุกรายละเอียดที่รองรับทุกความต้องการ ความสะดวกสบาย และตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนของอนาคต ที่พร้อมให้คุณสัมผัสได้วันนี้
ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า LifeDrive
นวัตกรรมการออกแบบโครงสร้างพิเศษสำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนไฟฟ้า LifeDrive ของบีเอ็มดับเบิลยู i ลดน้ำหนักส่วนต่างๆของรถ เพิ่มประสิทธิภาพของพลังงานสำรอง ด้วยการจัดวางตัวรถ 2 ส่วนหลัก ส่วน Drive Module ที่ทำจากวัสดุ อลูมิเนียม และ Life Module ที่ผลิตจาก คาร์บอน ไฟเบอร์ ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ทั้งสองส่วนรวมกันเป็นโครงสร้างที่มีสง่างามแต่ยังคงน้ำหนักเบา ผลลัพธ์ของเทคโนโลยี LifeDrive ทำให้การใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ รวมถึงการเพิ่มพื้นที่ภายในให้กว้างขวาง และคงความปลอดภัย
หลักอากาศพลศาสตร์
ลดแรงเสียดทานอากาศให้ต่ำสุด ในขณะที่เพิ่มพื้นที่ให้มากสุด เป็นหลักสำคัญของการออกแบบรถขับเคลื่อนไฟฟ้าให้ตามหลักอากาศพลศาสตร์ ในบีเอ็มดับเบิลยู i ถูกออกแบบให้ใต้ท้องปิดเรียบ ป้องกันลมหมุนวนใต้ท้อง ครีบดักอากาศเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนอากาศที่ซุ้มล้อ และช่องลมด้านหลังล้อหน้า ที่ช่วยลดแรงต้านลม ประหยัดพลังงาน เพื่อการเดินทางที่ไกลกว่า
วัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้
เป็นธรรมชาติ นำกลับมาใช้ใหม่ได้ และยั่งยืน ภายในห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู i3 โดดเด่นด้วยแผงประตูและแผงหน้าปัดผลิตจากเส้นใยไฟเบอร์ธรรมชาติที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ หนังสีแทนตามธรรมชาติ และไม้ยูคาลิปตัสลายฉลุที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานป่าไม้ 100% FSC® ในภาพรวม บีเอ็มดับเบิลยู i3 ใช้วัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้และพลาสติกรีไซเคิล 25% วัสดุหุ้มเบาะผลิตจากโพลีเอสเตอร์ 100% และใช้ 34% PET ในการผลิต นอกจากนี้ยังใช้พลาสติกรีไซเคิลอีก 25% กับวัสดุภายนอก
การผลิต
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปได้ขึ้นสู่ลำดับต้นๆของตลาดหุ้นดาวโจนส์ทุกปี ตั้งแต่ปี 2005 ในฐานะบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ได้รับความน่าเชื่อถือสูงสุด และไม่หยุดนิ่งแค่เป็นผู้นำ แต่ยังพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสิ่งใหม่ ฐานการผลิตคาร์บอนไฟเบอร์ถูกสร้างขึ้นที่ Mosses Lake สหรัฐอเมริกา ด้วยความสามารถในการผลิตด้วยไฟฟ้าจากเขื่อน Grand Coulee แหล่งผลิตไฟฟ้าพลังน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมไฟฟ้าพลังลมจากกังหันลมขนาดใหญ่ เพื่อใช้ในโรงงานที่ติดตั้งในโรงงานบีเอ็มดับเบิลยู i ใน Leipzig จึงลดการใช้พลังงานในการประกอบรถยนต์ได้มากกว่าครึ่ง และลดการใช้ทรัพยากรน้ำได้ถึง 70%*
*เมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานการผลิตของบีเอ็มดับเบิลยู
การใช้งาน
เพื่อให้รถยนต์ไฟฟ้าเหล่านี้มีความคล่องตัวปราดเปรียวและมีประสิทธิภาพโดดเด่น ระบบหล่อเย็นอัจฉริยะจะรักษาอุณหภูมิแบตเตอรี่ให้อยู่ที่อุณหภูมิการทำงานตลอดเวลา ผู้ขับขี่บีเอ็มดับเบิลยู i สามารถใช้งานโหมดที่ช่วยประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้นได้โดยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว ซึ่งช่วยให้เดินทางได้ไกลขึ้นอีกประมาณ 30% หรือเกือบ 200 กม.*
ความยั่งยืนอย่างมั่นคงในที่นี้หมายถึงไม่เพียงแต่การปล่อยมลภาวะ CO2 จากรถยนต์เท่านั้นที่ลดลง แต่ยังรวมถึงการปล่อยมลภาวะในกระบวนการผลิตรถยนต์ และในขณะที่ให้กำเนิดพลังงานไฟฟ้าด้วย ซึ่งลดปริมาณการปล่อยมลภาวะเป็นอย่างมากหรือเกือบจะไม่มีเลย นี่คือเหตุผลที่บีเอ็มดับเบิลยู i ร่วมงานกับพันธมิตรที่มีแนวคิดเรื่องความยั่งยืนเช่นกันไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตพลังงานทดแทน เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทดแทนที่เข้าถึงผู้ขับขี่บีเอ็มดับเบิลยู i ได้ง่าย
*ข้อมูลภายในจากการศึกษาอัตราการสิ้นเปลืองของบีเอ็มดับเบิลยู ระยะทางที่สามารถขับขี่ต่อไปได้จะขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พฤติกรรมการขับขี่ส่วนบุคคล เส้นทางที่เลือกใช้ สภาพอากาศ การใช้งานระบบปรับอากาศร้อน / เย็น และสภาวะต่างๆ ก่อนออกเดินทาง
รีไซเคิล
การนำชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกกลับมาใช้ใหม่มีได้หลากหลายวิธี อาทิเช่น แบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนประสิทธิภาพสูงที่ติดตั้งในบีเอ็มดับเบิลยู i หลังจากการใช้งาน จะถูกนำมาใช้เก็บสำรองพลังงานไฟฟ้าจากระบบพลังงานแสงอาทิตย์ หรือกำลังลมเป็นต้นบีเอ็มดับเบิยู i ยังเป็นผู้ริเริ่มการผลิตคาร์บอนไฟเบอร์และระบบการรีไซเคิล ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้ใส่ใจกับทุกรายละเอียดของทุกชิ้นส่วนที่เหลือจากการผลิตคาร์บอน และ การผลิตชิ้นส่วนของรถที่ทำจากคาร์บอน เพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ในส่วนต่างๆต่อไป
ความยั่งยืนที่พิสูจน์ได้
ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ที่สามารถกำหนดเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามต้องการสำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ตลอดช่วงอายุการใช้งานทั้งหมดของรถได้ตั้งแต่ช่วงต้นของการกำหนดยุทธศาสตร์ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ได้รับการพิจารณารวมเบ็ดเสร็จอยู่ในห่วงโซ่แห่งคุณค่าซึ่งรวมถึงการจัดหา การผลิต การใช้งาน และการรีไซเคิลในภายหลัง
เพื่อประเมินความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้อย่างชัดเจน จึงได้มีการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระหว่างการพัฒนาบีเอ็มดับเบิลยู i3 ไว้ทั้งหมด และผลกระทบนี้ยืนยันได้ว่ากระบวนการพัฒนาบีเอ็มดับเบิลยู i3 ทั้งหมดเป็นต้นแบบแห่งความสำเร็จ
ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า
ผลงานชิ้นสำคัญที่ได้จากระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยู i3 นั้นเห็นได้ชัดว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล หากพิจารณาถึงการให้กำเนิดกระแสไฟฟ้าสำหรับแบตเตอรี่แรงดันไฟฟ้าสูงด้วยแล้ว ยังมีขอบเขตที่จะต้องคำนึงถึงอีกเพื่อให้ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
โครงสร้างน้ำหนักเบาล้ำสมัย
บีเอ็มดับเบิลยู i เป็นสิ่งเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นเชิงกลยุทธ์ในระยะยาวของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมอย่างยั่งยืน ความมุ่งมั่นนี้ส่งผลให้เกิดการตัดสินใจในการใช้วัสดุน้ำหนักเบาช่วยประหยัดพลังงาน (เช่น อะลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์) ซึ่งผลิตขึ้นโดยการใช้กระแสไฟฟ้าที่ได้จากแหล่งพลังงานทดแทน
วัฏจักรการผลิตที่ยั่งยืน
ในระหว่างการผลิตโมดุล Life บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของบีเอ็มดับเบิลยูในด้านการผลิตคาร์บอนไฟเบอร์เชิงอุตสาหกรรมให้เป็นประโยชน์ ในขั้นตอนการพัฒนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับยนตรกรรมในกลุ่มบีเอ็มดับเบิลยู i วัสดุส่วนที่เหลือจากการผลิตคาร์บอนไฟเบอร์สามารถนำกลับเข้าไปใช้ในขั้นตอนการผลิตใหม่ได้ วิธีการนี้ช่วยลดความจำเป็นในการใช้วัตถุดิบจากโรงงานเส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์ในเมืองโมเสส เลค (สหรัฐอเมริกา) ซึ่งเป็นสถานที่ผลิตวัตถุดิบสำหรับใช้เป็นชิ้นส่วนประกอบทั้งหมดซึ่งผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ในบีเอ็มดับเบิลยู i3
การใช้งานพลังงานไฟฟ้าทดแทน
กระแสไฟฟ้าที่ใช้ในกระบวนการผลิตยนตรกรรมบีเอ็มดับเบิลยู i ที่โรงงานไลป์ซิกได้มาจากแหล่งพลังงานทดแทนโดยเฉพาะเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ จึงมีการติดตั้งกังหันลมในบริเวณที่ตั้งโรงงานเพื่อทำหน้าที่จ่ายพลังงานไฟฟ้าโดยตรงสำหรับใช้ในกระบวนการผลิต นอกจากนี้ พลังงานทั้งหมด 100% ที่จำเป็นต่อการผลิตที่โรงงานเส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์ในเมืองโมเสส เลค (สหรัฐอเมริกา) ก็ได้จากพลังงานน้ำในพื้นที่เช่นกัน
รับรองโดย ISO 14040/14044
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของบีเอ็มดับเบิลยู i3 ยืนยันได้ว่าบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และผ่านการรับรองมาตรฐานสากลที่เข้มงวดที่สุดอีกด้วย ปฏิญญาความถูกต้องซึ่งออกโดยหน่วยงานตรวจสอบอิสระด้านเทคนิค TÜV SÜD ยืนยันว่าวิธีการที่บีเอ็มดับเบิลยู i ใช้เป็นไปตามมาตรฐานวิศวกรรมล่าสุดและผ่านข้อบังคับอันเข้มงวดทั้งหมดตามมาตรฐาน ISO 14040/14044 TÜV SÜD ตรวจสอบข้อมูลและวิธีการทั้งหมดที่ใช้กับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน จากความหมายของวัตถุประสงค์ตลอดจนการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับรถยนต์ทั่วไป มีความเป็นไปได้ที่ยานยนต์ไฟฟ้าบีเอ็มดับเบิลยู i3 ทุกรุ่นจะช่วยลดภาวะเรือนกระจกได้ 30% ถึงมากกว่า 50% (โดยขณะขับขี่จะต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทดแทน)