เครื่องมือจัดการการอนุญาตของคุณให้ใช้คุกกี้ของเรากำลังออฟไลน์ชั่วคราว การทำงานบางอย่างที่ต้องใช้คำยินยอมให้ใช้คุกกี้อาจหายไป

BMW EFFICIENT DYNAMICS: เทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่
BMW EfficientDynamics: เทคโนโลยีของวันพรุ่งนี้
BMW มีความมุ่งหวังที่จะสร้างรถที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดที่มาพร้อมอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานน้อยที่สุด และเพื่อให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จึงได้มีการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ จำนวนมากเข้ามาใช้กับตัวถังรถ ตั้งแต่ระบบขับเคลื่อนไปจนถึงระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับรถและลดการบริโภคเชื้อเพลิงลงได้อย่างชัดเจน ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสร้างน้ำหนักเบา หลักการอากาศพลศาสตร์และแนวคิดการขับขี่แบบยั่งยืนของ BMW
BMW มีความมุ่งหวังที่จะสร้างรถที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดที่มาพร้อมอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานน้อยที่สุด และเพื่อให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จึงได้มีการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ จำนวนมากเข้ามาใช้กับตัวถังรถ ตั้งแต่ระบบขับเคลื่อนไปจนถึงระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับรถและลดการบริโภคเชื้อเพลิงลงได้อย่างชัดเจน ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสร้างน้ำหนักเบา หลักการอากาศพลศาสตร์และแนวคิดการขับขี่แบบยั่งยืนของ BMW

BMW EFFICIENT LIGHTWEIGHT – เทคโนโลยีโครงสร้างน้ำหนักเบาของ BMW
BMW EfficientLightweight คือตัวอย่างของการผสมผสานประสิทธิภาพและการขับขี่อย่างมีไดนามิกเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ จากการประยุกต์ใช้วัสดุที่แข็งแกร่งและมีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ เช่น คาร์บอนไฟเบอร์ในส่วนของห้องโดยสาร อะลูมิเนียมที่ตัวถัง เหล็กความแข็งแกร่งสูงกับตัวถังรถ หรือแมกนีเซียมอัลลอยอัลตร้าโมเดิร์นกับเครื่องยนต์ วัสดุเหล่านี้ล้วนทำให้อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลดลงและในขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มสมรรถนะและไดนามิกให้สูงยิ่งขึ้น
ห้องโดยสารที่ทำมาจากคาร์บอนที่ผลิตขึ้นมาเป็นรุ่นแรก แสดงให้เห็นว่า BMW i ได้มีการปฏิวัติรูปแบบทางวิศวกรรมยานยนต์ขึ้นมาใหม่สำหรับโครงสร้างน้ำหนักเบา และด้วยความแข็งแกร่งของวัสดุที่นำมาใช้จึงสามารถปกป้องผู้โดยสารในขณะที่เกิดอุบัติเหตุได้อย่างดีเยี่ยม และยังมีน้ำหนักเบามากพอที่จะรักษาความสมดุลของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาจากแบตเตอรี่ HV ได้อย่างลงตัว ผลที่ได้คือความปลอดภัยในระดับสูงที่ผสานเข้ากับความกว้างขวางและความสะดวกสบายได้อย่างดีเยี่ยมและยังช่วยลดน้ำหนักโดยรวมให้เบาลงไปด้วยพร้อม ๆ กับประสิทธิภาพที่เพิ่มสูงขึ้น
BMW i3 และ BMW i8 คือยนตรกรรมรุ่นแรกที่มีการนำวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์มาใช้ในการผลิตจำนวนมาก สมัยก่อน การใช้คาร์บอนไฟเบอร์ค่อนข้างจะจำกัดเนื่องจากต้องมีการผลิตแบบแมนนวล แต่ในปัจจุบันนี้ BMW Group สามารถผลิตคาร์บอนไฟเบอร์และเพลทคาร์บอนไฟเบอร์ได้ด้วยตนเองจึงทำให้สามารถทำการผลิตได้เป็นจำนวนมาก
หลักอากาศพลศาสตร์
หลักอากาศพลศาสตร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพจาก BMW EfficientDynamics
แนวคิดที่ดีไม่จำเป็นต้องซับซ้อน ซึ่งจะเห็นได้จากการนำหลักอากาศพลศาสตร์เข้ามาใช้ เช่น ระบบ Air Vent Control และ Air Curtain ที่กันชนหน้า Air Performance wheels หรือ Air Breather ที่ด้านหลังซุ้มล้อหน้า ที่ทำให้ BMW มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศที่ต่ำมาก นอกเหนือไปจากส่วนใต้ท้องรถที่มีการปรับให้เหมาะสมตามหลักอากาศพลศาสตร์แล้ว ก็ยังมีสัดส่วนของรถที่มีการออกแบบตามหลัก AERO GENES ซึ่งส่งผลในเชิงบวกต่อประสิทธิภาพและเสถียรภาพในการทรงตัวในขณะเดียวกันยังช่วยลดระดับเสียงรบกวนที่เข้าไปภายในห้องโดยสารได้เป็นอย่างดี

Air Performance wheels
ล้อที่ได้รับการพัฒนาให้มีน้ำหนักที่เหมาะสม ต้านลมได้ดี และมีประสิทธิภาพสูง มาพร้อม Insert ที่ช่วยทำให้ลมไหลผ่านไปด้านข้าง เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ให้ถูกต้องตามหลักอากาศพลศาสตร์ได้ดียิ่งขึ้น

ระบบควบคุมกระจังหน้าอัจฉริยะ
ระบบควบคุมกระจังหน้าอัจฉริยะจะรับรู้ได้ในทันทีที่เครื่องยนต์ เบรก และส่วนประกอบอื่น ๆ ต้องการอากาศ ระบบจะเปิดช่องระบายอากาศโดยอัตโนมัติ และถ้าไม่ต้องการให้มีอากาศเข้ามาเพิ่มอีก กระจังหน้าก็จะปิดเข้ามา ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพตามหลักอากาศพลศาสตร์ให้สูงขึ้นและลดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงให้ต่ำลง

Air Curtain
คุณทำหน้าที่ควบคุมรถ ส่วน Air Curtain จะทำหน้าที่ควบคุมกระแสลม Air Curtain นี้สามารถช่วยลดแรงต้านของอากาศที่ไหลผ่านตัวถังได้ด้วยวิธีที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพสูง ด้วยแนวช่องทางลมที่มีความแคบจะทำให้กระแสลมพัดไปเร็วขึ้นและควบคุมให้ไหลผ่านล้อออกไป ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยลดการสั่นสะเทือนที่เกิดจากกระแสลมหมุนวนในซุ้มล้อให้น้อยลงได้และยังช่วยลดแรงต้านที่ตัวถังพร้อมทั้งมีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและการปล่อย CO2 ที่ลดน้อยลงอีกด้วย
แนวคิดระบบขับเคลื่อนของ BMW
ระบบขับเคลื่อนแห่งอนาคตที่ให้ประสิทธิภาพและความยั่งยืนได้ในระดับสูงสุด
เมื่อทำการพัฒนารถ BMW จะยึดหลักตามแนวคิดระบบขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ ลองเข้าดูตัวเลือกต่าง ๆ สำหรับการขับขี่อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น Plug-in hybrid, eDrive, Hydrogen drive หรือเทคโนโลยี Mild Hybrid ใหม่
BMW MILD HYBRID TECHNOLOGY.

Supplementing the combustion engine, the electric motor ensures more efficiency and dynamics.
A mild hybrid is a special variant of the hybrid drive system. The vehicle does not use its electric motor as an independent drive, but instead switches it on in addition to the combustion engine, according to the situation. This reduces consumption and increases the range. At the same time, the electric drive can reinforce the combustion engine by providing a boost. In mild hybrids the battery is recharged during the journey exclusively when braking due to recuperation.
ระบบ PLUG-IN-HYBRID

การผสมผสานเครื่องยนต์เผาไหม้กับมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รถยนต์ BMW ที่ใช้ระบบไฮบริด หรือที่เรียกกันว่า Plug-in hybrids มีระบบขับเคลื่อนสองแบบ คือ เครื่องยนต์เผาไหม้และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยจะทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสมรรถนะสูงรุ่นใหม่ ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงช่วยเพิ่มระยะการขับขี่ให้ไกลยิ่งขึ้นเท่านั้นแต่ยังทำให้เกิดขุมพลังแรงและสมรรถนะที่สูงอย่างเหนือชั้น การชาร์จแบตเตอรี่ใหม่สามารถทำได้โดยใช้ช่องเสียบปลั๊กตามปกติ หรือชาร์จไฟที่สถานีชาร์จ หรือใช้ระบบ Brake Energy Regeneration ซึ่งเป็นกระบวนการที่เรียกว่า Recuperation ที่พลังงานจลน์ของรถจะถูกแปลงกลับไปเป็นพลังงานไฟฟ้าในระหว่างการเบรกและส่งกำลังไฟฟ้าที่ได้มานั้นไปยังแบตเตอรี่
ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า

รถยนต์ไฟฟ้ามาพร้อมระบบขับเคลื่อน eDrive เพื่อช่วงระยะการขับขี่สูงสุดและประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยม
รถยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคตของ BMW ที่ใช้ระบบขับเคลื่อน eDrive ได้รับขุมพลังแรงอย่างเหนือชั้นจากพลังงานไฟฟ้า แนวคิดระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าทั้งหมดคือการขับเคลื่อนรถได้โดยไม่ต้องมีเครื่องยนต์เผาไหม้ และไม่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ผลที่ได้คือรถยนต์ไฟฟ้าที่ปราศจากการปล่อยมลพิษในโหมดการขับขี่จริง กำลังไฟฟ้าที่ต้องใช้จะถูกจัดเก็บไว้ในแบตเตอรี่ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดช่วงระยะในการขับขี่ด้วยไฟฟ้า การชาร์จไฟฟ้าสามารถทำได้จากช่องเสียบปลั๊กตามปกติ ที่ BMW Wallboxes หรือที่สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า
ระบบขับเคลื่อนด้วยไฮโดรเจน

รถยนต์พลังงานไฮโดรเจน อนาคตที่ไม่มีขีดจำกัด
BMW ได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนมาเป็นเวลาหลายปี และยังได้ทำงานร่วมกับ Toyota ในการพัฒนาระบบขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนนับตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา โดยขั้นตอนถัดไปจะมีการเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนในปี 2022 ซึ่ง BMW ถือเป็นผู้นำร่องในการผลิตระบบขับเคลื่อนด้วยเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนรุ่นที่สองที่จะนำมาใช้กับ BMW i Hydrogen NEXT รถยนต์พลังงานไฮโดรเจนนี้ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งนี่คือสาเหตุที่ทำไมรถรุ่นนี้ถึงถูกจัดให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า แต่ความแตกต่างที่สำคัญจากรถยนต์ไฟฟ้าคันอื่น ๆ คือ รถยนต์พลังงานไฮโดรเจนสามารถผลิตไฟฟ้าได้ด้วยตัวเองและไม่ต้องรับพลังงานไฟฟ้ามาจากแบตเตอรี่ที่ต้องมีการชาร์จไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟภายนอก แต่รถยนต์พลังงานไฮโดรเจนนี้จะมีแหล่งผลิตไฟฟ้าของตนเองโดยจะอยู่ในรูปแบบของเซลล์เชื้อเพลิง และทำการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากไฮโดรเจนและออกซิเจน ทำให้เกิดยนตรกรรมที่มีระบบขับเคลื่อนไฮโดรเจนประสิทธิภาพสูงที่ปราศจากการปล่อยมลพิษขึ้นมา