อย่างไรก็ตาม นี่คือ BMW X6 เจนเนอเรชันที่ 3 ที่เปิดตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม 2019 และในตอนนั้นวางจำหน่ายในประเทศไทยด้วยการนำเข้า 100% รุ่น BMW X6 xDrive30d M Sport กับราคา 7.299 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับ BMW X7 M50d รุ่นนำเข้า SAV เรือธงอนุกรมล่าสุดของ BMW ที่ราคา 8.999 ล้านบาท จนไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องขอใช้ความคิดรอบที่สองหรือ Second thought กันก่อนสักนิด กาลมาซ้ำด้วยการที่บีเอ็มดับเบิลยูประเทศไทยก็เปิดตัว BMW X7 xDrive30d รุ่นประกอบในประเทศพร้อมกับราคาที่ปรับเป็น 5.999 ล้านบาทในอีก 3 ปีต่อมา ดังนั้นพอมาถึงปี 2022 บีเอ็มดับเบิลยูจึงตัดสินใจนำ BMW X6 เข้ามาประกอบในประเทศพร้อมปรับเปลี่ยนรุ่นย่อยใหม่เป็น BMW X6 xDrive40i M Sport และอุปกรณ์ให้เหมาะสม จึงถือเป็นคราวของ BMW X6 อย่างแท้จริงเสียที และด้วยราคาที่ปรับเป็น 5.499 ล้านบาท (พร้อมแพ็คเกจ BSI Standard ฟรีค่าบำรุงรักษา 3 ปี) ก็น่าจะทำให้แฟน BMW X6 จำนวนไม่น้อยที่ยังพิจารณาอยู่ตัดสินใจได้แบบไม่ต้องลังเลอีกต่อไป

แต่ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนว่านอกจากสถานที่ให้กำเนิดและรุ่นย่อยที่ต่างไปจากเดิม ตัวรถจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นก่อนหน้าบ้าง เริ่มจากภายนอกที่ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ โดยมีจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ประจำรุ่นอย่างกระจังหน้าไตคู่พร้อมไฟเรืองแสง Illuminated BMW Kidney Grille ที่ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน กับดีไซน์ของตัวกระจังที่ปรับเปลี่ยนมาเป็นทรงห้าเหลี่ยมพร้อมปลายด้านมุมแหลมที่สลับลงไปอยู่ส่วนล่าง โคมไฟหน้า BMW Laserlight มีสัญลักษณ์ตัว X สีฟ้าอยู่ตรงกึ่งกลางไฟแต่ละดวง โดยที่พวกมันสามารถส่องตอนกลางคืนได้ไกลถึง 500 เมตร ในตอนกลางคืนทั้งสองอย่างนี้จะทำให้ BMW X6 มีหน้าตาราวกับดาร์ธเวเดอร์ในโลกรถยนต์ และทำให้ทุกคันที่วิ่งอยู่ข้างหน้ามันอยากจะรีบให้พ้นๆ ไปซะ ถัดลงมาที่ด้านหน้าจะเป็นกันชนหน้า M Sport ดีไซน์ช่องดักลมขนาดใหญ่ในแนวตั้งทั้งสามช่อง บริเวณตรงกลางเป็นศูนย์รวมของเซ็นเซอร์ที่ใช้ในระบบช่วยเหลือการขับที่มาในชุด Driving Assistant Plus เช่น ระบบตรวจจับรถและคนเดินถนน พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ ฯลฯ

ด้านข้างจุดเด่นอยู่ที่ล้ออัลลอย M ขนาด 22 นิ้ว ลาย Double-spoke แบบสลับสี ตัดกับคาลิปเปอร์เบรกดีไซน์ M Sport สีน้ำเงินสด ช่อง Air Breather ขนาดใหญ่บนบังโคลนหน้าและอีกชุดนึงที่มุมกันชนหลังมีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น เส้น Character line ที่โค้งต่อเนื่องจากปลายด้านล่างของ Air Breather ไปที่ซุ้มล้อหลังทำให้รถดูปราดเปรียว สอดรับกับเส้นสายของหลังคาที่ลาดลงแบบรถคูเป้ ส่วนด้านท้ายที่บึกบึนนั้นมีไฟท้าย LED ดีไซน์เรียวเล็กทรง L-shaped ที่ยาวไปจนเกือบจรดกับโลโก้บนฝากระโปรงท้ายเป็นเอกลักษณ์เด่นของรุ่น มันทำให้รถดูแบนและกว้างแต่ทะมัดทะแมงจนต้องเหลียวมอง ซึ่งไฟท้ายแบนยาวแบบนี้ดูเหมือนจะถูกจำกัดอยู่ใน SAC อนุกรมเลขคู่เท่านั้น เช่น BMW X6, BMW X4, BMW X2 และ 220i ส่วนซึ่งมันทำให้รถดูกว้างและแบน ส่งเสริมมาดสปอร์ตขึ้นอีกพอสมควร

ในห้องโดยสารยังคงบรรยากาศและเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกที่คุ้นเคย แผงหน้าปัดเป็นแบบเดียวกับ BMW X5 ที่มีเอกลักษณ์คือช่องแอร์ซ้อนสองชั้นในฝั่งคนขับและผู้โดยสาร เรือนไมล์แบบ BMW Live Cockpit Professional แสดงผลบนจอดิจิตอลขนาด 12.3” ขนาดเท่ากับจอควบคุมกลาง พร้อมระบบผู้ช่วย BMW Intelligent Personal Assistant ระบบ BMW ConnectedDrive และการสั่งงาน iDrive ด้วยการเคลื่อนไหวของมือ (Gesture control) หัวเกียร์และปุ่มควบคุม iDrive ตกแต่งด้วยผลึกแก้ว CraftedClarity ที่วางแก้วพร้อมฟังก์ชันควบคุมอุณหภูมิ และระบบปรับอากาศอัตโนมัติ 4 โซน ที่แยกอิสระกันทุกที่นั่ง เครื่องเสียง Harman Kardon เบาะนั่งหุ้มหนัง Vernasca พร้อมเจาะรูระบายอากาศมีให้เลือก 2 สี คือ  Coffee และ Tacora red ซึ่งขึ้นอยู่กับสีตัวรถที่เลือก กุญแจ BMW Display Key และกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง (Surround View Camera) ที่สามารถเรียกดูภาพรอบตัวรถในขณะที่จอดผ่านแอพลิเคชัน My BMW ได้