นอกจากรูปลักษณ์หน้าตาของตัวรถแล้ว ไฮไลท์สำคัญที่ BMW 330e M Sport รุ่นใหม่ได้รับการปรับปรุงจากรุ่นก่อนหน้าก็คือ แบตเตอรี่เจนเนอเรชันที่ 4 ซึ่งเพิ่มระยะทางการขับด้วยไฟฟ้าล้วนมาอีกราวเท่าตัวที่ 50-80 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) รวมถึงการเพิ่มโหมดใหม่ ‘XtraBoost’ ที่มอเตอร์ไฟฟ้าจะสามารถปล่อยแรงม้าออกมาเพิ่มได้อีก 40 ตัว ในเวลาที่ต้องการพละกำลังระดับสูงสุด ทำให้แรงม้ารวมของรถคันนี้กระโดดมาอยู่ที่ 292 แรงม้า แม้ว่าจะยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซินสี่สูบ 2.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo เหมือนกับรุ่นก่อน และนั่นก็ทำให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาสั้นลงเหลือเพียง 6.0 วินาที โดยการตอบสนองคันเร่งจะถูกปรับให้คมและก้าวร้าวเหนือจากโหมด Sport ขึ้นไปอีกหนึ่งระดับตลอดทุกช่วงตั้งแต่รอบต่ำไปจนถึงรอบสูง เช่นเดียวกับเกียร์ที่โหมดการเปลี่ยนจะฉับไวและสปอร์ตขึ้น และมาตรวัดแบบ BMW Live Cockpit Professional ซึ่งกลายมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของ BMW eDrive ทุกรุ่นแล้วในตอนนี้ ที่จะมีหน้าจอสำหรับโหมด XtraBoost เพิ่มขึ้นมาด้วย

ระบบ eDrive เจนเนอเรชันล่าสุดยังมีฟีเจอร์การทำงานร่วมกับระบบต่างๆ ของตัวรถ เช่น ระบบนำทาง และกล้องตรวจจับวัตถุและอ่านป้ายจราจรอีกด้วย เวลาที่คนขับป้อนจุดหมายปลายทางเป็นใจกลางเมือง รถก็จะจัดการพลังงานระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้ากับเครื่องยนต์สันดาปภายในให้เหมาะสมที่สุด เพื่อที่แบตเตอรี่จะมีประจุไฟเหลือเพียงพอสำหรับการขับแบบไฟฟ้า 100% เมื่อเข้าเขตเมือง ซึ่งอาจจะทำด้วยการเพิ่มอัตราการชาร์จไฟกลับจากเบรกให้สูงขึ้นในจังหวะที่รถกำลังวิ่งลงเนิน หรือเพิ่มระดับการหน่วงตอนคนขับถอนคันเร่ง (คล้ายกับ Engine Brake ในรถทั่วไป เพียงแต่นี่เป็นการจัดการของระบบไฟฟ้าเท่านั้น) ซึ่งก็จะช่วยให้เวลาขับทางไกลสบายขึ้นด้วย เพราะคนขับไม่ต้องสลับเท้ามาเหยียบเบรกบ่อยๆ ด้วย หรือจากเซ็นเซอร์หน้ารถที่พบว่ารถกำลังวิ่งเข้าใกล้คันหน้าหรือผ่านป้ายจราจรที่เกี่ยวข้องกับการชะลอความเร็ว เช่น ป้ายจำกัดความเร็ว ทางแยก วงเวียน สัญญาณไฟจราจร เป็นต้น และในเมื่อ eDrive ถูกบูรณาการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการขับขี่ถึงขนาดนี้แล้ว สวิทช์การเลือกโหมดจึงถูกรวมเข้าไปเป็นชุดเดียวกับปุ่ม Driving Experience Control เลย โดยโหมดที่เลือกจะเปลี่ยนใหม่หมดเป็น ELECTRIC, HYBRID, ADAPTIVE, SPORT และมีปุ่ม Battery Control แยกออกมาอีกหนึ่งปุ่ม

การมาถึงของ BMW 330e M Sport ครั้งนี้ยังเป็นการปรับเปลี่ยนฐานการผลิตมาเป็นจากในประเทศไทย (CKD) จากเดิมที่จำหน่ายแบบนำเข้าทั้งคัน (CBU) มากันตั้งแต่ตอนเปิดตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2019 อีกด้วย พิกัดภาษีสำหรับรถยนต์ผลิตในประเทศที่ลดลง ทำให้ บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) สามารถอัดออพชันเข้ามาได้เพิ่มขึ้นจนครบครันกันทุกรุ่นย่อยใหม่แบบแทบไม่ต้องขออะไรเพิ่มอีกด้วย

เริ่มต้นจากภายนอก BMW 330e M Sport ใหม่จะมาพร้อมกับชุดตกแต่งตัวถังภายนอกแบบ M Sport ล้ออัลลอย M Light Alloy Wheels ขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง Run flat ที่ล้อหลังมีขนาดหน้ากว้างมากกว่าล้อหน้า ช่วงล่าง Adaptive M Sport สามารถปรับความแข็ง-อ่อน ได้ตามโหมดการขับที่เลือก ชุดคาลิปเปอร์เบรก M Sport รวมถึงหลังคาซันรูฟที่เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า

ด้านระบบช่วยเหลือด้านการขับขี่ (Driving Assistants) เพื่อความปลอดภัยนั้นก็มีให้มาแบบเต็มพิกัดเช่นกัน ทั้งระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องจราจร (Lane departure warning) ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตา (Lane change warning) ระบบเตือนเมื่อมีรถวิ่งผ่านขณะถอยหลัง (Cross-traffic warning rear) ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ และตรวจจับคนเดินถนนที่ความเร็วต่ำ (City braking function) ระบบแจ้งเตือนป้ายจราจร (Speed limit information and no-overtaking indicator) รวมถึงระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ Parking Assistant Plus และกล้องมองภาพรอบคัน

ส่วนภายในนั้นจะได้ชุดมาตรวัดและหน้าจอ BMW Live Cockpit Professional รุ่นใหม่ หน้าจอควบคุมกลางเป็นแบบทัชสกรีนและสามารถควบคุมด้วยการเคลื่อนไหวของมือ (Gesture control) หน้าจอแสดงผลบนกระจกหน้า (Head-up display) ที่ชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย (Wireless charging) และเบาะนั่งคู่หน้าแบบมีดันหลังไฟฟ้า (Lumbar support)

อัตราภาษีที่ถูกลงยังทำให้สามารถปรับลดราคาลงมาต่ำกว่า BMW 330i M Sport และ BMW 320d Sport รุ่นเดิมที่เป็นการนำเข้ามาขายทั้งคัน (CBU) อีกด้วย ใครที่กำลังชั่งใจในการตัดสินใจเลือกซื้อ BMW ซีรีส์ 3 รุ่นปัจจุบันอยู่ นี่น่าจะเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่คุณจะตัดสินใจแล้วครับ

ขอให้มีความสุขกับ BMW ทุกวันครับ