Our tool for managing your permission to our use of cookies is temporarily offline. Therefore some functionality is missing.
The first-ever BMW 2 Series Gran Coupe.
คุณผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าทำไมชื่อของบทความนี้ถึงขึ้นต้นว่า The first-ever ในเมื่อเรากำลังพูดถึงรถยนต์ในอนุกรมเลข 2 ของ BMW ซึ่งก็มีทั้ง BMW 2 Series Coupe (รวมถึง BMW M2 สปอร์ตคูเป้วายร้ายร่างเล็กขวัญใจนักขับทั่วโลกที่ใช้พื้นฐานตัวถังเดียวกัน), BMW 2 Series Active Tourer และ BMW 2 Series Gran Tourer รถพ่อบ้านขนาดกระทัดรัด และ BMW X2 รถยนต์ SAC ที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการด้วยดีไซน์อันโดดเด่นราวกับหลุดออกมาจากแคทวอล์คแล้ว กระนั้นมันก็แปลว่า BMW อนุกรมเลข 2 เคยมี “first ever” มาแล้วไม่ต่ำกว่าสามรอบ ดังนั้นการจะมีรอบที่สี่ก็คงไม่แปลก นี่คือ The “first-ever” BMW 2 Series Gran Coupe สปอร์ตซีดานขนาดเล็กที่มีจุดเด่นที่รูปร่างเย้ายวน ซึ่งพร้อมจะมาทำให้สมรภูมิของรถยนต์ในเซกเมนต์นี้ลุกเป็นไฟ
BMW 2 Series Gran Coupe เป็นรถยนต์ที่ BMW พัฒนาขึ้นมาใหม่บนพื้นฐานเดียวกับ BMW 1 Series รุ่นล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ มันใช้แพลตฟอร์มขับเคลื่อนล้อหน้าที่มีชื่อว่า UKL ซึ่งใช้อยู่ในรถยนต์หลากหลายรุ่นของ BMW ดังนั้นถึงชื่อของมันจะละม้ายคล้ายกับ BMW 2 Series Coupe แต่เจ้า BMW 2 Series “Gran Coupe” นี้เป็นรถยนต์ที่ใหม่ขึ้นมาอีกหนึ่งเจนเนอเรชันแล้ว ดีไซน์ภายนอกของตัวรถมีความหรูหรา แบนกว้าง และสปอร์ต ตามแม่บทพิมพ์เขียวของรถยนต์ประเภท Gran Coupe ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ BMW มามากมาย ตั้งแต่ BMW 8 Series Gran Coupe, BMW 6 Series Gran Coupe ไล่ลงมาจนถึง BMW 4 Series Gran Coupe ด้วยจุดเด่นอย่างบานประตูแบบกระจกไร้กรอบ (Frameless side doors) หรือแนวเส้นหลังคาที่ต่อเนื่องเป็นเส้นเดียวกันไปจนขอบปลายสุดของฝากระโปรงท้าย
พอมาถึงน้องเล็กสุดในสาย Gran Coupe ทีมออกแบบก็ได้นำเอาเอกลักษณ์การออกแบบด้านหน้ารถสุดคลาสสิคของ BMW มาตีความใหม่ ทำให้หน้าตาของ BMW 2 Series Gran Coupe ออกมาเป็นรถที่ดูสปอร์ต ดุดัน และแบนกว้างตั้งแต่ทันทีเห็น แต่ยังเก็บเอกลักษณ์ของ BMW ทุกอย่างเอาไว้ครบถ้วน โคมไฟหน้าทำมุมกระดกขึ้นเล็กน้อยและเป็น LED เต็มรูปแบบตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น กระจังหน้าไตคู่เปลี่ยนมาใช้ดีไซน์แบบใหม่ที่กระจังทั้งสองฝั่งวางชิดกันและมีรูปทรงมุมแหลมที่ปลายทั้งสองด้าน ส่วนซี่กระจังในแนวตั้งก็เพิ่มรายละเอียดสามมิติเข้าไปเพื่อความหรูหรา ด้านข้างของตัวรถมีการให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับมุมองศาของหลังคาที่ลาดเอียงลงอย่างสง่างาม พร้อมกระจกสามเหลี่ยมชิ้นหลังที่ช่วยทำให้ตัวรถดูยาวและเพรียวขึ้น นอกจากนี้ จุดที่เสา C ของหลังคาลงไปจรดกับซุ้มล้อหลังขนาดใหญ่นั้น ก็ถูกบรรจงเลือกองศาการสบกันที่เพิ่มความรู้สึกสปอร์ต ปิดท้ายด้วยไฟท้าย LED ทรงตัว L ที่ถูกรีดให้แบนและยาวมาจนเกือบถึงกลางฝากระโปรงท้าย พร้อมกับคิ้วสีดำ High-gloss ที่เชื่อมไฟท้ายทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกันผ่านโลโก้ BMW ที่ช่วยเน้นให้มุมมองจากด้านหลังดูแบนและกว้างขึ้นไปอีก
พอก้าวเข้ามาในห้องโดยสารคุณจะพบกับภายในที่ยกมาจาก BMW 1 Series รุ่นล่าสุด แต่ทีม BMW ได้เน้นไปที่การบรรจุเทคโนโลยีกับเทคนิคการออกแบบใหม่ๆ เข้าไปเพื่อสร้างบรรยากาศห้องโดยสารที่รู้สึกถึงคุณภาพและความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ยังเป็นมิตรกับผู้โดยสารเวลาที่ต้องเดินทางไกลได้ดีกว่าเดิม ด้วยขนาดพื้นที่บริเวณเข่าของผู้โดยสารตอนหลังที่กว้างขึ้น 33 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับ BMW 2 Series Coupe และท้ายรถที่ความจุสัมภาระเพิ่มขึ้น 40 ลิตร มาเป็น 430 ลิตร ตั้งแต่ก่อนที่จะพับเบาะหลังแยก 40:20:40 ลง ส่วนด้านหน้านั้นคอนโซลกลางยังทำมุมเอียงเข้าหาคนขับ และมีแถบตกแต่งบนคอนโซลที่สามารถเลือกออพชันให้เรืองแสงได้ตามสีของไฟ Ambient Light ซึ่งคนขับสามารถตั้งค่าได้ผ่านเมนู iDrive ในหน้าจอควบคุมกลางขนาด 8.8 นิ้ว
ในช่วงเปิดตัว BMW 2 Series Gran Coupe จะทำตลาดในรหัส 218i เครื่องยนต์เบนซิน 1,500 ซีซี 3 สูบ พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ซึ่งผลิตแรงม้าได้สูงสุด 140 แรงม้า (หรือ 103 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร พ่วงเข้ากับเกียร์อัตโนมัติดูอัลคลัทช์ 7 จังหวะ ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายใน 8.7 วินาที กับความเร็วสูงสุด 215 กิโลเมตร/ชั่วโมง แน่นอนว่าการที่มันเป็นรถยนต์สปอร์ตซีดานขับเคลื่อนล้อหน้ารุ่นแรกของ BMW ทีมวิศวกรจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาแชสซีส์และช่วงล่างเป็นพิเศษเพื่อให้ BMW 2 Series Gran Coupe ยังคงมีลายเซ็นต์ของ BMW อยู่อย่างเต็มเปี่ยม และมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีบางอย่างจาก BMW i มาใช้ เช่น ระบบ ARB (Near-actuator wheel slip limitation) ที่ตรวจจับการลื่นไถลของล้อหน้าได้อย่างแม่นยำขึ้น โดยระบบจะเข้าไปสั่งให้เบรกล้อข้างที่กำลังจะเกิดการลื่นไถลจับตัว เพื่อให้รถสามารถออกตัว เข้าโค้ง หรือเร่งแซงทั้งบนถนนแห้งและเปียกได้มั่นใจมากขึ้น
จุดเปลี่ยนสำคัญของระบบ ARB คือการที่วิศวกรตัดสินใจนำชุดควบคุมเข้ามารวมเป็นส่วนหนึ่งของกล่องควบคุมเครื่องยนต์ (ECU) แทนที่จะเป็นกล่องควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (DSC) แบบเดิม และใครจะไปคิดว่าสายไฟที่สั้นลงนั้นจะทำให้ระบบสามารถตอบสนองต่อการลื่นไถลได้ไวขึ้นถึง 3 เท่าตัว ในขณะที่คนขับจะรู้สึกว่าระบบทำงานได้เร็วขึ้นถึง 10 เท่า ระบบ ARB จะทำงานร่วมกับระบบ BMW Performance Control ที่คอยตรวจจับการถ่ายน้ำหนักของรถ และมีติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐานใน BMW 2 Series Gran Coupe ทุกรุ่น เพื่อตรวจจับสัญญาณการลื่นไถลของล้อ เมื่อทุกอย่างทำงานประสานกันได้อย่างเร็วและละเอียดอ่อนขึ้น อาการเลี้ยวไม่เข้า (Power Understeer) ซึ่งเป็นนิสัยประจำตัวของรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้าเวลาที่เข้าโค้งด้วยความเร็วเกิน หรือเมื่อถูกเติมคันเร่งเพื่อพารถออกจากโค้งอย่างหนักหน่วงก็จะถูกจำกัดลง คนขับจึงไม่จำเป็นต้องแก้อาการด้วยการถอนคันเร่งหรือปรับแต่งองศาของพวงมาลัยใดๆ
ฟีเจอร์และเทคโนโลยีอัดแน่นเช่นนี้ ก็คงจะพอบอกได้ว่าสมรภูมิทางตรงของเซกเมนต์นี้ในไทยก็คงจะร้อนระอุราวกับเดือนเมษาในปีเอลนีโญ แต่สมรภูมิทางโค้งน่าจะไฟลุกโชนไม่ต่างอะไรจากการนั่งอยู่ใจกลางดวงอาทิตย์ คุณผู้อ่านท่านใดสนใจร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกของสมรภูมินี้ สามารถติดตามความคืบหน้าได้จากเวบไซต์ http://www.bmw.co.th หรือจากโชว์รูมผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการทุกแห่งทั่วประเทศไทยครับ
ขอให้มีความสุขกับ BMW ทุกวันครับ