Highlight | 2016.12.01

BMW M4 GTS: Challenge The Limits

500 แรงม้า 600 นิวตันเมตร 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร 2 เทอร์โบ 7 เกียร์ 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 305 กิโลเมตร/ชั่วโมง 1,590 กิโลกรัม แรงม้าต่อน้ำหนักเพียง 3 กิโลกรัมเศษ... แค่กวาดตามองตัวเลขชุดนี้ปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่ารถคันที่เป็นเจ้าของสเปคนี้ต้องไม่ธรรมดา นี่คือรถที่มาสานต่อตำนานความศักดิ์สิทธิ์ของ BMW ตระกูล M แท้ๆ นับตั้งแต่ BMW M3 E30 นี่คือรถที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอกย้ำว่า M ยังคงเป็นตัวอักษรที่ทรงพลังมากที่สุดในโลก และนี่คือ BMW M4 GTS

 

หลายคนอาจมีคำถามขึ้นมาในใจว่า เมื่อไม่กี่เดือนก่อน BMW Fascination เพิ่งจะพูดถึง BMW M4 กันไปและเราก็บอกว่ามันยอดเยี่ยมมาก แล้วทำไมเรายังต้องการอะไรที่แรงขึ้น โหดขึ้น และดุดันขึ้นกว่านั้นอีกหรือ? หรือมันจะเป็นไปได้ยังไงกันที่จะทำรถสักคันนึงให้ออกมาดีกว่า BMW M4? แต่เชื่อว่าพอคุณได้เห็นภาพ BMW M4 GTS ปรากฏอยู่ตรงหน้าในคอลัมน์นี้ก็คงจะหมดข้อสงสัยกันแล้ว หนึ่งในเหตุผลที่ BMW M GmbH ตัดสินใจพัฒนา BMW M4 GTS ขึ้นมาก็เพื่อย้อนรอยกลับไปหาจุดตั้งต้นที่เคยสร้างชื่อเสียงให้ BMW ตระกูล M จนโด่งดังมาหลายทศวรรษในวาระที่ BMW M3 (ต้นตระกูลของ M4) อายุครบ 30 ปี โดยมันจะเป็นรถที่มีสมรรถนะโดดเด่น น้ำหนักเบา กระฉับกระเฉง นิ่ง มั่นคง ผสานกับคนขับเป็นหนึ่งเดียว และเป็นรถที่เกิดมาเพื่อนักขับอย่างแท้จริงเฉกเช่น BMW M3 E30 แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้แปลว่า BMW M4 รุ่นปกติมีข้อบกพร่อง เพียงแต่มันไม่สามารถหลีกเลี่ยงทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ว่าความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุดไปได้ รถสปอร์ตรุ่นใหม่อย่าง BMW M4 จึงต้องมีทั้งเครื่องยนต์พลังสูง ห้องโดยสารหรูหรา มีอุปกรณ์ล้ำสมัยอัดแน่นไว้ตอบสนองไลฟ์สไตล์ แถมยังต้องขับสบายและมีระบบความปลอดภัยครบครัน สิ่งที่ตามมาก็คือขนาดกับน้ำหนักของรถที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวแม้ BMW จะพยายามคิดค้นและนำวัสดุน้ำหนักเบายุคใหม่อย่าง CFRP  มาใช้ให้มากที่สุดแล้วก็ตาม และเมื่อถึงจุดนึงวัฏจักรแห่งการเพิ่มขนาด, เพิ่มอุปกรณ์, เพิ่มน้ำหนัก, เพิ่มขนาด, เพิ่มอุปกรณ์, เพิ่มน้ำหนัก, เพิ่มขนาด...พอ! ก็ต้องถูกหยุดลง ซึ่ง BMW M4 GTS รุ่นพิเศษก็คือรถคันนั้น

Read more

ไฟหน้า LED Selective Beam ไฟท้ายพิเศษ OLED กระจังหน้า M double bar สปอยเลอร์หน้าอันเขื่อง วัสดุน้ำหนักเบา CFRP เต็มคัน และล้ออัลลอยฟอร์จหน้า 19” หลัง 20” สีพิเศษส้ม Acid orange

 

แม้คนที่ไม่เคยสนใจเรื่องรถยนต์ก็น่าจะสัมผัสกลิ่นอายแห่งความพิเศษของ BMW M4 GTS ได้ตั้งแต่แรกเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นสีโปรโมทเทาเข้มกึ่งด้าน Frozen dark grey metallic ที่ตัดกับสีส้ม Acid orange เอกลักษณ์บนล้อและสปอยเลอร์หน้า ฝากระโปรงหน้าทำจากวัสดุน้ำหนักเบา CFRP ถูกดีไซน์ให้นูนสูงขึ้นกว่าปกติพร้อมช่องระบายอากาศ ซึ่งเบากว่าฝากระโปรงอลูมิเนียมของ BMW M4 รุ่นปกติอยู่ 25% ส่วนสปอยเลอร์ดักลมขนาดใหญ่ใต้กันชนหน้า หลังคา ฝากระโปรงท้าย และสปอยเลอร์หลังปรับระดับด้วยมืออันเขื่องก็ล้วนทำจาก CFRP ทั้งสิ้น อย่างที่เราบอกไปข้างต้นว่าเป้าหมายนึงที่ BMW ต้องการจะทำให้สำเร็จกับ BMW M4 GTS ก็คือการลดน้ำหนัก โดย BMW เรียกกลยุทธ์นี้ว่า “Intelligent Lightweight Design” วัสดุ CFRP ในชิ้นส่วนต่างๆ ที่เรากล่าวถึงไปตอนต้น รวมถึงสิ่งที่อยู่ลึกลงไปใต้พื้นผิวอย่างคานยึดเรือนไมล์ใต้แผงคอนโซล
เพลาขับ หรือแม้แต่สตรัทบาร์สวยๆ ในห้องเครื่องก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่ว่ามาทั้งสิ้น

 

ไฟหน้าของ BMW M4 GTS เป็น LED ที่มาพร้อมเทคโนโลยี BMW Selective Beam ซึ่งในยามปกติจะเปิดไฟสูงให้อัตโนมัติ แต่เมื่อระบบตรวจพบว่ามีรถที่อยู่ข้างหน้าหรือกำลังวิ่งสวนมาก็จะทำการแหวกลำแสงไฟหลบให้อัตโนมัติ ทัศนวิสัยยามค่ำคืนในขณะที่คุณกำลังเฆี่ยนม้าทั้ง 500 ตัวให้ควบเต็มฝีเท้าจึงยังดีเยี่ยมตลอดเวลา และเมื่ออยู่ในโค้งระบบ Adaptive Headlights จะช่วยปรับลำแสงของไฟให้เลี้ยวตามองศาพวงมาลัย ถัดจากไฟหน้าเป็นกระจังหน้ารูปไตสีดำเงาที่มองดูเผินๆ จะเหมือนกับกระจังหน้าของ BMW ทั่วๆ ไป แต่พอเข้ามาใกล้จะพบว่าความพิเศษอยู่ตรงที่แต่ละซี่ในแนวตั้งเป็นซี่คู่ (M Double Bar) ต่ำลงไปเป็นกันชนหน้าที่เส้นสายตัดกันอย่างเฉียบขาดดูมีพลัง สอดรับกับช่องดักลมขนาดใหญ่ทั้งสาม และสปอยเลอร์หน้าคาร์บอน ซ้อนทับอยู่บนลิ้นหน้าคาร์บอนทำสีพิเศษส้ม Acid orange ที่ยาวเหยียดราวกับพร้อมจะห้ำหั่นรถช้าที่วิ่งขวางหน้าอยู่ให้แหลกเป็นชิ้นๆ

 

ด้านข้างของรถจะพบกับล้ออัลลอยฟอร์จน้ำหนักเบาลาย 666 M Star-Spoke สีส้ม Acid Orange ผิวด้านหน้าสีเงินปัดมันขนาด 19” ในด้านหน้า และ 20” ในด้านหลัง (ใช่แล้ว..ล้อหน้าและหลังขนาดไม่เท่ากัน) ห่อหุ้มเบรคคาร์บอนเซรามิคน้ำหนักเบา และคาลิปเปอร์เบรคสีทองพร้อมโลโก้ M เพิ่มความขลังแบบ 6 pot ในด้านหน้า และ 4 pot ในด้านหลัง

 

อ้อมมาทางด้านหลังนอกจากสปอยเลอร์หลังคาร์บอนยักษ์แล้ว จุดเด่นที่ทำให้ BMW M4 GTS ต่างไปจากซีรีส์ 4 รุ่นอื่นๆ ก็คือการจัดวางแนวเส้นไฟท้ายรูปแบบตัว “L” ด้วยเทคโนโลยี BMW Organic Light ประกอบด้วยหลอดไฟแบบใหม่ Organic LED (OLED) ความเจ๋งของมันอยู่ตรงที่แสงที่เปล่งออกมาจะเข้มเท่ากันทั้งแผ่น แทนที่จะเป็น “จุด” แบบหลอด LED ทั่วไป ซึ่งนอกจากจะดูสวยงามกว่าแล้ว มันยังสามารถโปรแกรมสั่งให้แต่ละหลอดเปิดหรือปิดแยกกันได้อย่างอิสระอีกด้วย BMW M4 GTS เป็นรถยนต์รุ่นแรกของโลกที่ออกจากสายพานการผลิตที่ใช้ไฟท้าย OLED และเรารับรองได้เลยว่า BMW M4 GTS จะไม่ต้องโดดเด่นออกมาท่ามกลางกระแสรถยนต์บนท้องถนน ตอกย้ำถึงความไม่ธรรมดาของรถคันนี้

ภายในดุดันด้วยหนังอัลคันทาร่า แผงประตูและหน้าปัดน้ำหนักเบา เบาะ Bucket seat คาร์บอนไฟเบอร์ พร้อมอุปกรณ์ที่มาพร้อมโลโก้ M เต็มคัน

 

ห้องโดยสารต้อนรับคุณด้วยเบาะ Bucket seat คาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา และหนังอัลคันทาร่าที่ปรากฎอยู่บนแทบจะทุกพื้นผิว สร้างบรรยากาศทันทีว่ารถคันนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อขับฉุยฉายอยู่ในเมืองเป็นหลัก แผงประตูดีไซน์ใหม่ทั้งหมดและผลิตจากวัสดุน้ำหนักเบา มือจับประตูถูกตัดทิ้งไปและแทนที่ด้วยห่วงริบบิ้นสีดำเดินด้ายแถบ M สามสี พวงมาลัย M ก้านคู่มัลติฟังก์ชันพร้อมแพดเดิลชิฟท์ หุ้มด้วยอัลคันทาร่าพร้อมแถบสีส้ม Acid orange ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา เพื่อให้คนขับสามารถรับรู้ตำแหน่งองศาพวงมาลัยได้โดยไม่ต้องชำเลืองตาลงมามอง บนพวงมาลัยมีปุ่ม M Drive ที่คนขับสามารถตั้งค่า Setting ต่างๆ ของรถทั้งเกียร์ ช่วงล่าง พวงมาลัย ฯลฯ แบบที่โปรดปรานไว้ได้ก่อนล่วงหน้า เผื่อในเวลาที่จำเป็นต้องออกศึกอย่างเร่งด่วน เพียงจิ้มปุ่ม M บนพวงมาลัยปุ่มเดียว BMW M4 GTS ก็ติดอาวุธครบมือพร้อมรบทันที หัวเกียร์ M เป็นโลหะปัดมัน เรือนไมล์พร้อมโลโก้ M และ GTS ความเร็วสูงสุด 330 กม./ชม.(!) ปิดท้ายด้วยตัวอักษร GTS สีส้ม Acid Orange ที่ปั๊มลงไปบนหนังอัลคันทาร่าสีเทา Dark grey บนหน้าปัดฝั่งผู้โดยสาร

เครื่องยนต์หกสูบ 3.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ 500 แรงม้า บูสต์พลังด้วยระบบสเปรย์ละอองน้ำลดความร้อน เกียร์ M DCT 7 จังหวะ พิสูจน์ผลงานด้วยเวลา 7.28 นาที ที่สนาม Nürburgring

 

มาถึงหัวใจสำคัญของเรื่องที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ เครื่องยนต์ เราได้บอกตัวเลขสมรรถนะเอาไว้แล้วในตอนต้น แต่ยังไงเราก็ยังจะนำมันมาพูดถึงอีกที เครื่องยนต์ของ BMW M4 GTS เป็นแบบหกสูบแถวเรียง 3.0 ลิตร ที่กวาดรางวัลมาแล้วนับไม่ถ้วนและเป็นแบบเดียวกับที่อยู่ใน BMW M3/M4 โดยมันถูกนำมาพัฒนาจนสามารถผลิตพละกำลังได้เพิ่มขึ้นเป็น 500 แรงม้า (เทียบกับ 431 แรงม้าของ BMW M3/M4) กับแรงบิด Flat-torque 600 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 4,000 – 5,500 รอบต่อนาที ในขณะเดียวกัน อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกับตัวเลขการปล่อยก๊าซมลพิษยังคงถูกจำกัดไว้ในระดับเดียวกันกับ BMW M3/M4

 

การที่มันสามารถสร้างตัวเลขสมรรถนะน่าประทับใจแบบนั้นออกมาได้ต้องขอบคุณเทคโนโลยีระบบสเปรย์ละอองน้ำเข้าไปในท่อร่วมไอดีที่ BMW คิดค้นและนำมาใช้กับ BMW M4 GTS เป็นครั้งแรกของรถที่ผลิตขายจริง ทีมวิศวกร BMW M ทราบดีว่าเครื่องยนต์ทุกชนิดเมื่อผ่านการขับอย่างหนักหน่วงจะต้องเผชิญกับปัญหาสมรรถนะถดถอยด้วยกันทั้งสิ้น เพราะความร้อนสะสมที่เกิดขึ้นภายในเครื่องยนต์จะไปทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ดังนั้น พวกเขาจึงติดตั้งหัวฉีดเพื่อสเปรย์ละอองน้ำแบบละเอียดเข้าไปในโพรงท่อไอดี เมื่อละอองน้ำเจอกับความร้อนภายในเครื่องยนต์ก็จะระเหยกลายเป็นไอ พร้อมกับดูดซับพลังงานความร้อนไปในตัว ส่งผลให้อุณหภูมิภายในท่อไอดีและอากาศที่เตรียมเข้าสู่ห้องเผาไหม้ต่ำลงมาก เมื่อไอดีเย็นความเสี่ยงต่อการเกิดอาการน็อคก็ลดลง จึงสามารถใช้แรงดันบูสต์สูงขึ้นและองศาจุดระเบิดล่วงหน้ามากขึ้นได้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือพละกำลังและแรงบิดที่เพิ่มสูงขึ้นมากกับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีขึ้น และผลพลอยได้ที่ตามมาก็คืออุณหภูมิของชิ้นส่วนต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ที่ต่ำกว่าเดิม ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานและลดการสึกหรอได้อีกด้วย

 

ทั้งหมดถูกพ่วงเข้ากับเกียร์คลัตช์คู่ M DCT 7 จังหวะ Drivelogic ที่ออกแบบมาสำหรับเครื่องยนต์ BMW พละกำลังสูงโดยเฉพาะ มันยังมาพร้อมระบบช่วยเหลือต่างๆ เช่น Launch Control, Low Speed Assistant หรือระบบ Start/Stop อัตโนมัติ ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ Drivelogic จะคอยคำนวณแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นภายในระบบและเลือกเกียร์ที่เหมาะสมที่สุดให้ตลอดเวลา โดยคนขับจะสามารถเลือกได้ทั้งโหมด D (Drive) หรือ S (Sequential) เพื่อชิฟท์เปลี่ยนเกียร์เอง และแต่ละโหมดก็ยังสามารถเลือกบุคลิกการเปลี่ยนเกียร์ได้ 3 แบบคือ Extremely sporty, Comfortable, หรือ Efficient

 

ถ้าคุณกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าด้วยเทคโนโลยีทั้งหมดที่ว่ามา ในชีวิตจริง BMW M4 GTS จะมีสมรรถนะร้อนแรงสักขนาดไหนกัน โชคดีที่ BMW พิสูจน์เรื่องนี้ให้คุณเรียบร้อยแล้วกับสถิติเวลา 7.28 นาที บนสนามแข่งรถในประเทศเยอรมันที่เลื่องชื่อในเรื่องความยาวถึง 12.9 ไมล์ และความโหดหินที่ปราบรถและนักแข่งระดับเซียนมาแล้วนับไม่ถ้วนที่ชื่อ Nürburgring ข้อมูลอ้างอิงจากสถิติจะพบว่ามีรถจำนวนน้อยมากที่สามารถทำเวลาต่อรอบได้ภายในพิกัด 7 นาที และถ้าหากตัดแบ่งกลุ่มลงมาเหลือเพียงรถที่มีสี่ที่นั่งแล้วล่ะก็ BMW M4 GTS จะครองตำแหน่งรถที่ทำเวลาต่อรอบสนาม Nürburgring ได้น้อยเป็นอันดับต้นๆ ของโลก คงจะพอเป็นแนวทางให้คุณจินตนาการได้แล้วว่า BMW M4 GTS ร้อนแรงมากขนาดไหน

 

น่าเสียดายที่ BMW M4 GTS ผลิตจำนวนจำกัดเพียงแค่ 700 คันเท่านั้น และสำหรับเมืองไทยก็ได้รับโควต้ามาเพียง 2 คันเท่านั้น เปิดราคาขายอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 13.999 ล้านบาท